วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

อิทธิพลของสื่อต่อสังคม : ศึกษากรณีสื่อภาพยนตร์



อิทธิพลของสื่อต่อสังคม : ศึกษากรณีสื่อภาพยนตร์ 

สวัสดีครับบบ!!   

วันนี้ผมจะขอนำเสนอเรื่องราวของอิทธพลของสื่อที่มีต่อสังคม



ภาพยนตร์หรือที่เราเรียกกันว่าหนังนั้น ทุกวันนี้ถือได้ว่าเป็นอีกสื่อหนึ่งซึ่งทรงอิทธิพลมาก ถึงแม้นักวิชาการบางท่านอาจมองว่ามีอิทธิพลน้อยกว่าสื่ออื่นๆ เช่นโทรทัศน์ เพราะเรามีโทรทัศน์กันเกือบทุกบ้าน และมีการเลือกชมโทรทัศน์กันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม ทำให้โทรทัศน์เป็นสื่อที่ครอบงำสังคมโลกไปแล้ว แต่ผมมองในอีกมุมมองหนึ่งว่า สื่อโทรทัศน์หากเราไม่ต้องการบริโภคเราก็ไม่ต้องไปเปิดดู แต่ภาพยนตร์เป็นสื่อที่ผู้ที่เข้าชมต้องมีความอยากจะบริโภคแล้วเลือกที่จะ เดินเข้ามาชมเอง เป็นสื่อที่ผู้บริโภคต้องพร้อมที่จะเกิดความ “ยินยอม” ที่จะบริโภคเท่านั้น


บทบาทหน้าที่ของภาพยนตร์ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการให้ความบันเทิงเท่านั้น แต่ยังถูกนำมาใช้เพื่อการศึกษา ทั้งสำหรับการเรียนการสอน หรือการฝึกอบรมตามหลักสูตรโดยตรง ภาพยนตร์ยังทำให้เกิดค่านิยมด้านต่างๆได้ ทั้งทางดีและทางไม่ดี เช่น ค่านิยมที่ดีทางจริยธรรม ได้แก่ ความกตัญญู ความเคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่ ความสุภาพเรียบร้อย ความเสียสละ ความประพฤติที่ควรยกย่องตามแบบของสังคมไทย ภาพยนตร์บางเรื่องทำให้ผู้ชมเกิดความคิด ความเชื่อในทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การแก้แค้น การเอาตัวรอด การกอบโกยผลประโยชน์ ซึ่งถือได้ว่าสื่อภาพยนตร์เป็นสื่อที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของ ปัจเจกบุคคล และมีอิทธิพลต่อภาพใหญ่ของสังคมทั้งในด้านการเมือง วัฒนธรรม และเศรษฐกิจแล้ว การพัฒนาสื่อภาพยนตร์ก็น่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม แต่การที่ "ภาพยนตร์" ในฐานะ "สื่อ" ที่จะทำหน้าที่ต่อสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขปัจจัยของการมี "สิทธิ" และ "เสรีภาพ" อันเหมาะสมเป็นสำคัญ

ภาพยนตร์มีอิทธิพลต่อสังคมมากน้อยเพียงใด ให้สังเกตจากการเกิดกระแสความนิยมในตัวละครที่โลดแล่นอยู่บนแผ่นฟิล์ม แล้วพัฒนาความนิยมไปเป็นการเกิดพฤติกรรมเลียนแบบนักแสดงตามมา ไม่ว่าจะเป็น ในยุคหนึ่งที่วัยรุ่นเมืองไทยมีแฟชั่น ต้องตัดผมรองทรงสูงและเดินเอียงคอตามแบบ “สุภาพบุรุษทรชน” ในกรณีของเด็กอาชีวะที่มีการยกพวกตีกัน หรือก่อคดีปล้นแล้วฆ่าเจ้าทรัพย์ โดยอ้างว่าเลียนแบบมาจากภาพยนตร์ กระทั่งมีเด็กนักเรียนชั้นประถม ไปสักยันต์ “มหาอุด” เลียนแบบตัวละครเอกในภาพยนตร์ หรือกรณีชาวอำเภอพรหมพิรามต่อต้านภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง เป็นต้น

นอกจากนี้คุณลักษณะพิเศษของภาพยนตร์อีกประการคือ สามารถนำข้อเท็จจริงหรือสร้างจินตนาการให้เกิดความบันเทิงด้วยเทคนิควิธีการ ต่างๆ ได้หลายแบบ เช่นทำให้เห็นสิ่งแปลกๆพิศดาร สิ่งที่ชวนให้ตื่นเต้นเร้าใจ หรือทำให้ดีใจ เสียใจ สะเทือนอารมณ์ ซึ่งบางครั้งการสร้างภาพยนตร์เพื่อการบันเทิงที่เกินขอบเขตด้านศิลธรรม จริยธรรมของสังคม อาจก่อให้เกิดปัญหาความขัดแย้งและความรุนแรงตามมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคสื่อหลอมรวมที่ไม่เพียงเนื้อหาใดๆ สามารถบีบอัด ส่งต่อ แพร่กระจาย จากสื่อหนึ่งไปอีกสื่อหนึ่งได้อย่างแทบจะไร้ข้อ จำกัดในเรื่อง ระยะทาง เวลา และ สถานที่ใดๆ ทำให้การเผยแพร่ข้อมูลทำได้ในเพียงช่วงพริบตา แต่ผลที่ตามมาของมันกลับสะท้านสะเทือนต่อเนื่องไปสู่วงกว้าง และอาจส่งต่อความเกลียดชังข้ามรุ่นไปได้


ยกตัวอย่างเช่น กรณีการประท้วงของชาวมุสลิมที่ลุกลามไปทั่วโลก เกี่ยวกับความไม่เหมาะสมของเนื้อหาในภาพยนตร์เรื่อง Innocence of Muslims ภาพยนตร์อิสระผลงานของ แซม เบซิล นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวสหรัฐที่มีจุดประสงค์ในการสร้างเพื่อใช้ในการ ต่อต้านศาสนาอิสลาม และล้อเลียนเรื่องราวชีวิตของศาสดานบีมุฮัมมัด เนื้อหาของภาพยนตร์เป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของ นบีมุฮัมมัดในฐานะคนธรรมดาและมีประเด็นของรักร่วมเพศ รวมถึงการส่งเสริมทาสเด็กและการคบชู้ เรื่องราวในภาพยนตร์ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางศาสนาที่ไปสู่ความขัดแย้ง ทางการเมือง จนเกิดความไม่พอใจของเหล่าชาวมุสลิมต่อภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาลบหลู่นบีมุฮัม มัด แต่ตัวผู้สร้างเองกลับออกมายืนยันถึงจุดยืนทางการเมืองของตน พร้อมอ้างว่า Innocence of Muslims เป็นภาพยนตร์การเมืองไม่ใช่ภาพยนตร์ทางศาสนา  การลุกขึ้นมาประท้วงของชาวมุสลิมในครั้งนี้ตอกย้ำอำนาจของสื่อภาพยนตร์ที่มี มากมาย หากใช้ในทางที่ถูกแล้วจะมีคุณประโยชน์ทางการสื่อสาร แต่หากนำไปใช้ในทางที่ไม่ควรก็อาจกลายเป็นระเบิดปรมาณูดีๆนี่เอง จึงมิแปลกใจที่ในประเทศเยอรมันช่วงสมัยของฮิตเลอร์ได้ใช้ภาพยนตร์ในการชวน เชื่อประชาชน หรือในรัสเซียมีการใช้ภาพยนตร์เพื่อเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนความคิดของคน (brainwash) เพื่อโค่นล้มอำนาจของพระเจ้าซาร์ ด้วยอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ ที่มีอำนาจอย่างมหาศาล จึงมิต้องสงสัยเลยว่าทุกประเทศในโลก จึงต้องมีการควบคุมภาพยนตร์โดยรัฐบาล หากมองว่าภาพยนตร์เป็นสื่อที่มีอำนาจดังที่เราได้พบเห็นในปรากฏการณ์ที่เกิด ขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกแล้ว การจัดวางอำนาจของภาพยนตร์ให้ถูกที่ถูกทางนั้น ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มไม่ว่าจะเป็นผู้สร้าง ผู้ควบคุมกฎระเบียบตลอดจนผู้ชมต้องพึงตระหนักและเรียนรู้ให้เท่าทัน และควรใช้เสรีภาพในการแสดงออก หรือสร้างภาพยนตร์อย่างมีขอบเขต โดยควรเคารพถึงสิทธิเสรีภาพ และไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามความเชื่อของผู้อื่นด้วย เพราะภาพยนตร์หากนำไปใช้ในทางที่ถูกก็จะผลิดอกออกผลสวยงามให้ได้เก็บกิน แต่หากใช้ในทางที่ผิดหรือไม่เหมาะสมแล้วก็อาจจะก่อให้เกิดความขัดแย้งหรือโศกนาฏกรรมขึ้นได้





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น